ยินดีต้อนรับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทที่2 อิเหนาตอนศึกกะหมังกุหนิง

อิเหนา เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องของบทละครลำ เพราะเป็นหนังสือซึ่งแต่งดีทั้งกลอน ทั้งความ และทั้งกระบวนการที่ตะเล่นละครประกอบการ และยังเป็นหนังสือที่ดี ในทางที่ตะศึกษาประเพณีไทยสมัยโบราณ  แม้บทละครเรื่องอิเหนาจะมีเค้าโครงมาจากนิทานพื้นเมืองของชาวชวา  เอกสารที่เกี่ยวข้องมีดังนี้อ่านเพิ่มเติม

บทที่3 นิทานเวตาล

ความเป็นมา
                นิทานเวตาล ฉบับนิพนธ์ พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ มีที่มาจากวรรณกรรมสันสกฤตของอินเดีย  โดยมีชื่อเดิมว่า “เวตาลปัญจวิงศติ” ศิวทาสได้แต่งไว้ในสมัยโบราณ

                  ต่อมาได้มีผู้นำนิทานเวตาลทั้งฉบับภาษาสันสกฤตและภาษาฮินดีมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยร้อยเอก เซอร์ ริชาร์ด เอฟ. เบอร์ตัน  ก็ได้นำมาแปลและเรียบเรียงแต่งแปลงเป็นสำนวนภาษาของตนเองให้คนอังกฤษอ่าน แต่ไม่ครบทั้ง 25 เรื่อง กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ได้ทรงแปลนิทานเวตาลจากฉบับของเบอร์ตัน จำนวน 9 เรื่อง และจากฉบับแปลสำนวนของ ซี. เอช. ทอว์นีย์   อีก 1 เรื่อง รวมเป็นฉบับภาษาไทยของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ 10 เรื่อง เมื่อ พ.ศ. 2461อ่านเพิ่มเติม

บทที่4 นิราศนรินทร์คำโคลง

นิราศนรินทร์เป็นบทประพันธ์ประเภทนิราศคำโคลงที่โด่งดังที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ ทัดเทียมได้กับ"กำสรวลศรีปราชญ์ "และ"ทวาทศมาส"ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้แต่งคือ นายนรินทร์ธิเบศร์(อิน) แต่งขึ้นเมื่อคราวตามเสด็จ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ไปทัพพม่าในสมัยรัชกาลที่สอง ไม่มีบันทึกถึงประวัติของผู้แต่งไว้ ทราบแต่ว่าเป็นข้าราชการ ตำแหน่ง มหาดเล็กหุ้มแพรในกรมพระราชวังบวรฯ และมีผลงานที่ปรากฏนอกจากนิราศเรื่องนี้ เป็นเพลงยาวอีกบทหนึ่งเท่านั้น แต่แม้จะมีผลงานเพียงน้อยนิด แต่ผลงานของกวีท่านนี้จัดว่าอยู่ในขั้นวรรณคดี และเป็นที่นิยมอ่านกันอย่างแพร่หลาย อ่านเพิ่มเติม


บทที่5 หัวใจชายหนุ่ม

นวนิยายเรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึง การแต่งงานของคนหนุ่มสาวที่มาจากการชอบพอกับเพียงแต่เปลือกนอก ขาดการรู้จัก และ เข้าใจกันอย่างแท้จริงย่อมไม่ยั่งยืน และ จบลงอย่างง่ายดาย ส่วนเรื่องของแม่อุไรนั้น ชี้ให้วัยรุ่นสมัยใหม่รู้จักการใช้เสรีภาพในทางที่ถูกต้อง ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนกระทั่งพลาดพลั้งชิงสุกก่อนห่ามอ่านเพิ่มเติม

บทที่ 6 ทุกข์ของชาวนาในบทกวี

ทุกข์ของชาวนาในบทกวี

          ทุกข์ของชาวนาในบทกวี  เป็นบทความพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  ที่แสดงให้เห็นถึงการเอาพระทัยใส่ความเข้าพระทัยในปัญหาต่าง ๆ ตลอดจนพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวนา  เนื่องด้วยชาวนาแต่ละท้องที่ล้วนมีสภาพชีวิตและความทุกข์ยากที่ไม่แตกต่างกันเลย  แม้ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปอย่างไรก็ตาม



บทที่7 มงคลสูตรคำฉันท์

มงคลสูตรคำฉันท์  เป็นวรรณคดี  คำสอน  ผลงานพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงนำหลักธรรมที่เป็นพระคาถาบาลีจากพระไตรปิฏกตั้งแล้วแปลถอดความเป็นคำประพันธ์ที่ไพเราะ  มีความงดงามทั้งด้านเสียงและความหมาย  สามารถจดจำได้ง่าย  มงคลสูตรคำฉันท์นี้จะเกิดแต่ตัวเราเองได้ก็ต้องเป็นผลมาจากการประพฤติปฏิบัติดีของตนเองเท่านั้น  หาได้มาจากปัจจัยอื่นเลย อ่านเพิ่มเติม 

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

มหาชาติ หรือ มหาเวสสันดรชาดก



มหาชาติ เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ที่ได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรและเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนไทยรู้จักและคุ้ยเคยกับมหาชาติมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ดังที่ปรากฏในหลักฐานในจารึกนครชุม และในสมัยอยุธยาก็ได้มีการแต่งและสวดมหาชาติคำหลวงในวันธรรมสวนะ ส่วนการเทศน์มหาชาติเป็นประเพณีที่สำคัญในทุกท้องถิ่นและมีความเชื่อกันว่า การฟังเทศน์มหาชาติจบภายในวันเดียวจะได้รับอานิสงส์มาก




ประวัติผู้แต่ง
มหาเวสสันดรชาดก มีผู้นิยมแต่งมากมาย กัณฑ์ละหลายสำนวน ในที่นี้จะกล่าวถึงผู้แต่งร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็นตัวอย่าง ๔ กัณฑ์ จากทั้งหมด ๑๓ กัณฑ์
๑ สำนักวัดถนน - กัณฑ์ทานกัณฑ์
ด้วยเหตุที่ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าผู้แต่งเป็นใคร ทราบเพียงแต่ว่าเป็นภิกษุที่อยู่วัดถนน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสีกุก อันเป็นเขตติดต่อระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอ่างทองจึงใช้ชื่อผู้แต่งกัณฑ์ทานกัณฑ์ว่า สำนักวัดถนน แทนชื่อผู้แต่ง
เรื่องผู้แต่งกัณฑ์ทานกัณฑ์นี้ นายทองคำ อ่อนทับทิม มรรคนายกวัดถนน กับนายเสงี่ยม คงตระกูล ได้สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ในละแวกบ้านใกล้วัดถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยายสมบูรณ์ สุปญสันธ์ อายุ ๙๐ ปีเศษ พอจะทราบเค้าประวัติของท่านผู้แต่งว่า ชื่อ ทองอยู่ เกิดที่บ้านไผ่จำศีล อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง (เดิมอำเภอนี้เป็นที่ตั้งตัวเมืองวิเศษไชยชาญ) ปีเกิดของท่านประมาณ พ.ศ.๒๓๐๐ คือ ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่ออายุประมาณ ๘-๙ ขวบ ได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ไม่ทราบว่าอยู่วัดอะไร เมื่ออายุประมาณ ๑๐-๑๑ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ประจวบกับกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ประชาชนอพยพหนีภัยสงครามไปอยู่ตามชนบท ในกรุงศรีอยุธยาเกิดขัดสนเสบียงอาหาร สามเณรทองอยู่จึงจำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านเกิด คือ ตำบลไผ่จำศีล การเดินทางในครั้งนั้นต้องเดินทางผ่านวัดภูเขาทอง อำเภอกรุงเก่า มาบ้านกุ่ม ผ่านบ้านบางชะนีซึ่งเป็นตำบลติดกับบ้านเลน ตำบลโผงเผง ที่บ้านนี้มีวัดอยู่วัดหนึ่ง เรียกว่า “วัดถนน” สามเณรทองอยู่ได้พักที่วัดนี้ ในขณะนั้นวัดถนนเกือบจะเป็นวัดร้าง มีสามเณรรูปหนึ่งคอยดูแลรักษา เณรรูปนี้ได้ชวนสามเณรทองอยู่มาอยู่ด้วยกัน แต่สามเณรทองอยู่ผัดว่าขออุปสมบทเป็นพระภิกษุก่อน ต่อมาประมาณ พ.ศ. ๒๓๒๑ หรือ ๒๓๒๒ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านจึงได้อุปสมบทและมาอยู่วัดถนนนี้
ท่านทองอยู่นับว่าเป็นสถาปนิกชั้นเยี่ยมท่านหนึ่ง ท่านจึงได้สร้างเจดีย์ไว้องค์หนึ่ง ซึ่งเวลานี้นับว่าเป็นเจดีย์ที่งดงามปรากฏอยู่หน้าพระวิหารวัดถนน ถึงกับมีผู้มาวาดรูปไปเป็นแบบก่อสร้าง ในด้านวรรณกรรม นอกจากท่านได้แต่งร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ทานกัณฑ์แล้ว ยังแต่งบททำขวัญนาคไว้อย่างไพเราะอีกด้วย